Nh-news : คลิกอ่าน//สถานการณ์วิกฤติบริษัทประกันภัย...กรณีประกันโควิด
สมาคมประกันวินาศภัยไทยแถลงข่าวสถานการณ์วิกฤตจากการรับประกันภัย COVID-19 แบบเจอจ่ายจบ
นายอานนท์ วังวสุ
นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย ได้แถลงข่าวเกี่ยวกับสถานการณ์วิกฤตจากการรับประกันภัย COVID-19 แบบเจอจ่ายจบ พร้อมชี้แจงเหตุผลในการรับประกันภัย
COVID-19
ว่าภาคธุรกิจประกันวินาศภัยต้องการช่วยบริหารความเสี่ยงให้กับประชาชนคนไทย
รวมทั้งช่วยแบ่งเบาและลดภาระในการดูแลผู้ป่วย COVID-19
ของรัฐบาล และที่สำคัญคือเป็นการทำตามนโยบายของสำนักงาน คปภ.
ที่ส่งเสริมและกระตุ้นให้บริษัทประกันภัยพัฒนากรมธรรม์ประกันภัย COVID-19 เพื่อออกขายให้ครอบคลุมและกว้างขวางที่สุด อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก COVID-19 เป็นความเสี่ยงอุบัติใหม่ที่ยากต่อการคาดการณ์
จึงส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อบริษัทประกันภัยที่รับประกันภัย COVID-19 แบบเจอจ่ายจบ ตามที่ปรากฏเป็นข่าวในขณะนี้
หลักการประกันภัยและการบริหารความเสี่ยงอุบัติใหม่
นายอานนท์ได้เริ่มต้นการแถลงข่าวโดยอธิบายหลักการประกันภัยว่า
การประกันภัยนั้นถือเป็นเครื่องมือหนึ่งในการบริหารความเสี่ยงของประชาชน ภาคธุรกิจ
รวมถึงภาครัฐ การประกันภัยต่างจากการเสี่ยงโชคในมุมที่ว่า ผู้เอาประกันภัยจะได้รับค่าสินไหมทดแทนเมื่อเกิดเหตุการณ์ตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยก่อให้เกิดความเสียหายขึ้น
การซื้อประกันภัยจึงไม่เหมือนสินค้าหรือบริการอื่นที่เมื่อซื้อแล้วต้องใช้ให้คุ้ม
เพราะหากมีค่าสินไหมทดแทนเกิดขึ้นสูงแล้ว เบี้ยประกันภัยก็จะต้องถูกปรับให้สูงขึ้นในอนาคต
เพื่อสะท้อนความเสี่ยงของผู้เอาประกันภัยให้เหมาะสมยิ่งขึ้น
สำหรับ COVID-19
ถือเป็นความเสี่ยงที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หรือที่เรียกว่าความเสี่ยงอุบัติใหม่
(Emerging Risk) ซึ่งโดยหลักแล้ว
การกำหนดอัตราเบี้ยประกันภัยจะไม่มีสถิติมารองรับอย่างเพียงพอ ดังนั้น
ในระยะเริ่มต้นจึงต้องอาศัยการคาดการณ์จากข้อมูลเท่าที่มีอยู่ จากนั้น เมื่อมีการติดตามผลการรับประกันภัยอย่างต่อเนื่อง
ก็สามารถนำข้อมูลที่มีมากขึ้นมาใช้ปรับอัตราเบี้ยประกันภัยและเงื่อนไขความคุ้มครองให้มีความเหมาะสมกับความเสี่ยงมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ หาก Emerging Risk ใด ก่อให้เกิดความเสียหายสูงกว่าความคาดหมายมากเกินระดับที่กำหนดไว้
ก็อาจต้องมีการพิจารณายุติความเสี่ยงเพื่อควบคุมความเสียหายไม่ให้ส่งผลกระทบออกไปในวงกว้าง
ซึ่งในพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 ก็ได้มีการกำหนดหลักการสำหรับการรับประกันภัยว่าไม่ควรรับประกันภัยรายเดียวหรือหลายรายรวมกันเพื่อวินาศภัยเดียวกัน
เกินกว่าร้อยละ 10 ของเงินกองทุน
เพื่อป้องกันไม่ให้วินาศภัยใดก่อให้เกิดความเสียหายจนอาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางการเงินได้ในที่สุด
สถานการณ์จากการรับประกันภัย COVID-19
นายอานนท์ ได้เปิดเผยต่อไปว่า สถิติ ณ
วันที่ 15 พฤศจิกายน 2564
แสดงให้เห็นว่า ค่าสินไหมทดแทนรวมจากการรับประกันภัย
COVID-19 มีจำนวนกว่า 37,000 ล้านบาท
ในขณะที่เงินกองทุนของบริษัทประกันวินาศภัยที่รับประกันภัยโดยรวมนั้นอยู่ที่ประมาณ
132,000 ล้านบาท
และด้วยสถานการณ์การระบาดที่ยังคงยืดเยื้อจนถึงปัจจุบันรวมถึงความเป็นไปได้ในการเกิดการระบาดระลอกใหม่
ทำให้คาดการณ์ว่าค่าสินไหมทดแทนสะสม ณ สิ้นปี 2564 จะเพิ่มสูงถึง
40,000 ล้านบาท คิดเป็น 30%
ของเงินกองทุนทั้งหมด (ซึ่งอัตรานี้เป็นค่าเฉลี่ยของทุกบริษัท ฉะนั้น
อาจมีบางบริษัทที่มีความเสียหายสูงกว่าเงินกองทุนไปแล้วเป็นจำนวนมาก) และอาจเพิ่มสูงถึง
60%-70% ของเงินกองทุนหากเกิดการระบาดระลอกใหม่ดังเช่นที่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลกในเวลานี้
ซึ่งจะทำให้บริษัทประกันวินาศภัยหลายบริษัทอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้
ประกันภัย COVID-19 อาจเป็นอุปสรรคต่อความสำเร็จของแผนการเปิดประเทศ
แผนการเปิดประเทศในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวและฟื้นฟูเศรษฐกิจ
นอกจากนี้แล้ว ยังมีเป้าหมายให้ประชาชนเชื่อมั่นในการใช้ชีวิตวิถีใหม่และดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับโรค
COVID-19 เนื่องจากมีผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มแรกแล้วเกินกว่า 63% ของประชากร ในขณะที่ผู้ที่ได้รับวัคซีนเข็มที่ 2 มีมากกว่า
52% ของประชากร ซึ่งการได้รับวัคซีนแล้วจะส่งผลทำให้ประชาชนกลับไปใช้ชีวิตตามปรกติเพิ่มมากขึ้น
เพราะโอกาสในการเจ็บป่วยจนถึงขั้นเสียชีวิตนั้นจะอยู่ในระดับต่ำ แต่ก็จะส่งผลทำให้โอกาสในการติดเชื้อเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย
ทั้งนี้ จากสถิติผู้ติดเชื้อ COVID-19 ในประเทศไทยมีอัตราผู้ติดเชื้อ
2.8% ของประชากร แต่อัตราผู้ติดเชื้อของผู้ที่มีประกันภัย
COVID-19 สูงถึง 3.8% ของผู้ถือกรมธรรม์ ซึ่งสูงกว่าอัตราการติดเชื้อของประชากรไทยทั่วไปถึง
35.7% นอกจากนี้แล้ว ข้อมูลจากบริษัทซึ่งอยู่ใน TOP 5 ของบริษัทที่รับประกันภัย COVID-19 แบบเจอจ่ายจบ
แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่มีกรมธรรม์ประกันภัย COVID-19
แบบเจอจ่ายจบมีอัตราการติดเชื้อสูงถึง 4.2% ซึ่งสูงกว่าอัตราการติดเชื้อของประชากรไทยทั้งหมดถึง
46%
ดังนั้น หากการติดเชื้อดังกล่าวของผู้ที่มีประกันภัยโควิด- 19 แพร่ไปยังประชาชนโดยทั่วไป โดยเฉพาะผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีน
อาจก่อให้เกิดการระบาดและคลัสเตอร์ใหม่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความสำเร็จของแผนการเปิดประเทศได้
สิทธิการบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยของผู้เอาประกันภัยและบริษัทประกันภัย
ตามหลักการประกันภัยสากลรวมถึงประเทศไทย
ผู้เอาประกันภัยและบริษัทประกันภัยต่างก็มีสิทธิในการบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัย
อย่างไรก็ตาม การบอกเลิกโดยผู้เอาประกันภัยนั้น ไม่ต้องมีการบอกกล่าวล่วงหน้า
ในขณะที่การบอกเลิกโดยบริษัทประกันภัยนั้น
จะต้องมีการบอกกล่าวล่วงหน้าให้ผู้เอาประกันภัยทราบอย่างน้อย 15-30 วัน
ตามที่ได้รับความเห็นชอบจากสำนักงาน คปภ.
สำหรับสาเหตุในการบอกเลิกโดยผู้เอาประกันภัยนั้น
โดยทั่วไปมาจากการที่ผู้เอาประกันภัยไม่พึงพอใจในบริการ
หรือได้รับข้อเสนอที่ดีกว่าจากบริษัทประกันภัยอื่น
หรือเมื่อผู้เอาประกันภัยได้ขายทรัพย์สินที่เอาประกันภัยไป
ในขณะที่การบอกเลิกโดยบริษัทประกันภัยแบบเฉพาะรายนั้น
ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากการกระทำฉ้อฉลของผู้เอาประกันภัย
หรือกรณีที่ผู้เอาประกันภัยมีอัตราการเคลมสูงกว่าอัตราปรกติเป็นอย่างมาก
หรือกรณีที่ผู้เอาประกันภัยให้ข้อมูลหรือเอกสารที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง
สำหรับการบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยของผู้เอาประกันภัยจำนวนมากในคราวเดียวกันจะมีสาเหตุมาจากภาพรวมและปัจจัยความเสี่ยง
(Risk Profile) ที่ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ
ซึ่งมักจะเกิดกับเหตุการณ์ที่เป็นมหันตภัยหรือความเสี่ยงอุบัติใหม่ (Emerging
Risk)
“จะเห็นได้ว่า มีการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยความเสี่ยงผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตจาก
COVID-19 อย่างมีนัยสำคัญ โดยจำนวนผู้ติดเชื้อ COVID-19 ในปี 2563 มีจำนวน 6,884 คน
ในขณะที่ในปี 2564 นับจนถึงวันนี้มีผู้ติดเชื้อถึง 2,037,241 คน เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ถึง 296 เท่าหรือ 29,600% สำหรับจำนวนผู้เสียชีวิตในปี 2563 นั้นมีจำนวน 61 คน
ในขณะที่ผู้เสียชีวิตในปีนี้มีถึง 20,193 คน เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ถึง 331 เท่าหรือ 33,100%”
นายอานนท์ ได้ให้ข้อมูลต่อว่า เงื่อนไขการบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยนั้น
เป็นเงื่อนไขมาตรฐานที่กำหนดอยู่ในกรมธรรม์ทุกประเภททั่วโลกและในประเทศไทยรวมถึงกรมธรรม์ประกันภัย
COVID-19 ด้วย ซึ่งเงื่อนไขการบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าวได้รับความเห็นชอบจากสำนักงาน
คปภ. ทุกฉบับ
คำสั่งนายทะเบียนที่ 38/2564
ให้ยกเลิกเงื่อนไขการใช้สิทธิบอกเลิกโดยบริษัทประกันภัย
ในพระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 ได้ให้อำนาจนายทะเบียนในการสั่งแก้ไขเปลี่ยนแปลงแบบหรือข้อความที่ได้เคยอนุมัติไปแล้วได้
และในวันที่ 16 กรกฎาคม 2564
นายทะเบียนได้ใช้อำนาจในการสั่งยกเลิกเงื่อนไขการใช้สิทธิบอกเลิกโดยบริษัทประกันภัย
ทั้งนี้ ในคำสั่งนายทะเบียนที่ 38/2564 ได้ระบุ “ให้ยกเลิกเงื่อนไขการใช้สิทธิบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยโดยบริษัท
สำหรับกรมธรรม์ประกันภัย COVID-19
ที่บริษัทได้รับความเห็นชอบจากนายทะเบียนและกรมธรรม์ประกันภัย COVID-19 ที่บริษัทได้ออกให้แก่ผู้เอาประกันภัยก่อนวันที่มีคำสั่งนี้และยังคงมีผลใช้บังคับ”
ในความเห็นของสำนักงาน คปภ. นั้น คำสั่งนี้มีผลบังคับตามกฎหมาย
โดยให้มีผลบังคับย้อนหลังไปถึงกรมธรรม์ที่ได้ออกไปแล้วก่อนหน้าวันที่มีคำสั่งประกาศใช้
ในขณะที่ความเห็นจากกลุ่มบริษัทที่รับประกันภัย COVID-19
นั้น มีความเห็นแตกต่าง ดังนี้
1)
คำสั่งนี้มีผลบังคับใช้เฉพาะกรมธรรม์ประกันภัยที่ออกใหม่หลังวันที่ออกคำสั่ง
เช่นที่เคยปฏิบัติมา
2)
ตามหลักกฎหมายทั่วไป
(รัฐธรรมนูญ หลักกฎหมายปกครอง และหลักกฎหมายอาญา)
กฎหมายย่อมไม่มีผลบังคับใช้ย้อนหลัง ยกเว้นกฎหมายที่เป็นคุณกับผู้ถูกบังคับ
3)
เงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัยมีความสัมพันธ์กับนโยบายการรับประกันภัยและอัตราเบี้ยประกันภัย
เมื่อมีคำสั่งแก้ไขเฉพาะเงื่อนไข ย่อมไม่เป็นธรรมแก่ผู้รับประกันภัย เพราะเมื่อมีการปรับเงื่อนไข
จะทำให้ความเสี่ยงเปลี่ยนไป ผู้รับประกันภัยย่อมมีสิทธิเลือกว่าจะรับประกันภัยต่อไปหรือไม่
และด้วยอัตราเบี้ยประกันภัยเท่าใด
4)
มีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้รับประกันภัยต่อ
เพราะเงื่อนไขที่นายทะเบียนสั่งแก้ไขอาจไม่ตรงกับสัญญาประกันภัยต่อ และจะทำให้เกิดปัญหาเมื่อมีการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนจากผู้รับประกันภัยต่อ
“เงื่อนไขการใช้สิทธิบอกเลิกเปรียบเสมือนเป็นระบบเซฟทีคัทในบ้านทุกหลัง หรือระบบเบรกในรถยนต์ทุกคัน
เพื่อจะใช้ตัดไฟหรือหยุดรถในยามฉุกเฉินหรือเมื่อเกิดเหตุวิกฤต
ผมขอเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจน
ลองนึกถึงรถที่บรรทุกผู้โดยสารอยู่เต็มคันรถวิ่งจากกรุงเทพไปเชียงราย แต่ระหว่างทางเกิดอุบัติเหตุที่ไม่คาดคิดทำให้รถยนต์ได้รับความเสียหายและไม่มีความพร้อมที่จะเดินทางต่อไปได้
จึงมีความจำเป็นต้องหยุดรถเพื่อซ่อมแซมให้เกิดความปลอดภัย
แต่มีคนมาสั่งการให้เอาระบบเบรกออกและสั่งให้รถวิ่งต่อไป
ซึ่งทางข้างหน้าเป็นทางที่อันตราย และรถก็ไม่มีระบบเบรกแล้ว เช่นนี้ก็จะก่อให้เกิดความเสี่ยงและอันตรายถึงชีวิตทั้งกับคนขับ
ผู้โดยสาร และผู้ใช้รถใช้ถนนรายอื่นได้”
หลักการสำคัญที่ผู้กำกับดูแลธุรกิจประกันภัยทั่วโลกใช้สำหรับการกำกับดูแลเสถียรภาพระบบประกันภัยและความเสี่ยงเชิงระบบ
นายอานนท์ ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักการสำคัญที่ผู้กำกับดูแลธุรกิจประกันภัยทั่วโลกใช้ในการกำกับดูแลธุรกิจประกันภัยที่เรียกว่า
Insurance Core Principles (ICPs) ซึ่งมีหลักการข้อที่
24 หรือ ICP 24 ว่าด้วยหลักการ Macroprudential
Supervision ซึ่งเป็นหลักการข้อที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการกำกับดูแลเสถียรภาพระบบประกันภัยและความเสี่ยงเชิงระบบซึ่งกำลังเกิดขึ้นอยู่ในเวลานี้
“ใน ICP 24 ได้ระบุชัดเจนว่าสำนักงาน คปภ.
มีหน้าที่ในการระบุ ติดตาม
และวิเคราะห์ปัจจัยแวดล้อมซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบริษัทประกันภัยและภาคธุรกิจประกันภัย
และใช้ข้อมูลที่ได้รับในการระบุจุดเปราะบาง
รวมถึงกำหนดมาตรการในจัดการความเสี่ยงเชิงระบบที่กำลังเกิดขึ้นและผลกระทบที่จะแพร่กระจายออกไป
ทั้งในระดับบริษัทและในระดับธุรกิจหากมีความจำเป็น
โดยผลกระทบเชิงระบบอาจเกิดขึ้นมาจากการที่บริษัทบางบริษัทหรือทั้งภาคธุรกิจต้องเผชิญกับความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง
รวมถึงความเสี่ยงในรูปแบบอื่น ๆ
ซึ่งความเสี่ยงเหล่านี้จะส่งผลกระทบไปยังส่วนอื่นของระบบการเงินหากบริษัทประกันภัยมีการเลิกกิจการ”
นายอานนท์ได้อธิบายต่อว่า ใน ICP 24 นี้
ยังได้มีการเขียนไว้ชัดเจนเกี่ยวกับเจตนาในการออกกฎหมายเพื่อลดผลกระทบที่จะแพร่กระจายออกไป อันเนื่องมาจากปัญหาเงินกองทุนและสภาพคล่องของบริษัทประกันภัย
หรือจาก Exposures ที่มีร่วมกันของกลุ่มของบริษัทประกันภัย
ทั้งนี้ สำนักงาน คปภ. อาจออกกฎหมายซึ่งปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับสภาวการณ์ในแต่ละช่วงเวลา ขึ้นอยู่กับสภาวะเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไป
และในการออกกฎหมายให้เหมาะสมกับสถานการณ์นั้น อาจจะอยู่ในรูปของ Rule-based ซึ่งจะมีผลบังคับใช้โดยอัตโนมัติหากเกิดเหตุการณ์ที่เข้าเงื่อนไขที่ได้มีการกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว หรือในรูปของการใช้ดุลยพินิจหากมีเหตุผลประกอบการตัดสินใจที่ชัดแจ้ง
การออกกฎหมายในรูปของ Rule-based จะมีความโปร่งใสมากกว่า
แต่ก็จำเป็นต้องอาศัยการประเมินอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับความมั่นคงของเงินกองทุนภายใต้สภาวการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการประกอบธุรกิจประกันภัย
เกณฑ์ในการบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัย COVID-19 แบบเจอจ่ายจบ
และมาตรการในการเยียวยาผู้เอาประกันภัยที่ถูกบอกเลิก
เนื่องจากเงินที่บริษัทประกันภัยใช้ในการประกอบธุรกิจส่วนใหญ่นั้น
มาจากเบี้ยประกันภัยจากการรับประกันภัยทุกประเภทซึ่งให้ความคุ้มครองผู้เอาประกันภัยทุกประเภทกว่า
70 ล้านกรมธรรม์
หากการจ่ายค่าสินไหมทดแทนจากประกันภัย COVID-19 ส่งผลทำให้บริษัทประกันภัยต้องมีการปิดกิจการเพิ่มอีก
ก็จะส่งผลกระทบต่อผู้เอาประกันภัยในวงกว้าง และกองทุนประกันวินาศภัยคงไม่สามารถรับภาระในการชดเชยค่าสินไหมทดแทนทั้งหมดได้
“เนื่องจากธุรกิจประกันวินาศภัยกำลังเผชิญกับความเสี่ยงเชิงระบบซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของระบบประกันภัยในอนาคตอันใกล้
สมาคมฯ จึงได้มีการหารือกับสำนักงาน คปภ. เพื่อหาทางออกร่วมกันตลอดระยะเวลาเกือบ 1 เดือนที่ผ่านมา เพื่อกำหนดมาตรการป้องกันไม่ให้เกิด Outward Risks
ซึ่งเป็นความเสี่ยงจากภาคธุรกิจประกันภัยซึ่งจะส่งผลกระทบต่อระบบการเงินหรือระบบเศรษฐกิจโดยรวมในที่สุด
ตามหลักการของ Insurance Core Principle 24 – Macroprudential
Supervision โดยพยายามหาข้อสรุปร่วมกันเพื่อรักษาผลประโยชน์ของผู้เอาประกันภัยส่วนใหญ่และเสถียรภาพของระบบประกันภัยเป็นที่ตั้ง
ซึ่งหลังจากพิจารณาแนวทางทั้งหมดที่เป็นไปได้แล้ว ได้มีการกำหนดเกณฑ์ร่วมกันหากจำเป็นต้องมีการบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัย
COVID-19 แบบเจอจ่ายจบ ดังนี้
1)
มีอัตราความเสียหายจากการรับประกันภัย
COVID-19 ตั้งแต่ 400% ขึ้นไป หรือ
2)
มีค่าสินไหมทดแทนจากการรับประกันภัย
COVID-19 ตั้งแต่ 4,000
ล้านบาทขึ้นไป หรือ
3)
มีค่าสินไหมทดแทนจากการรับประกันภัย
COVID-19 เกินกว่าร้อยละ 10
ของเงินกองทุน
สำหรับมาตรการเยียวยาผู้เอาประกันภัยที่ได้มีการพิจารณาร่วมกัน
มีดังต่อไปนี้
1)
ได้รับเบี้ยประกันภัยคืน
100%
จากบริษัทที่ใช้สิทธิบอกเลิก แทนที่จะได้รับเบี้ยคืนตามส่วนระยะเวลาความคุ้มครองที่เหลืออยู่
หรือ
2)
เปลี่ยนเป็นกรมธรรม์ประกันภัย
COVID-19 ฉบับใหม่
ซึ่งจะให้ความคุ้มครองเฉพาะกรณีเจ็บป่วยขั้นสุดท้าย (ภาวะโคม่า) ด้วยทุนประกันภัย 5 เท่าของวงเงินความคุ้มครองแบบเจอจ่ายจบในกรมธรรม์ประกันภัย COVID-19 ที่ถูกบอกเลิก หรือ
3)
เปลี่ยนเป็นกรมธรรม์ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคลฉบับใหม่
ซึ่งจะให้ความคุ้มครองด้วยทุนประกันภัย 10 เท่าของวงเงินความคุ้มครองแบบเจอจ่ายจบในกรมธรรม์ประกันภัย COVID-19 ที่ถูกบอกเลิก หรือ
4)
นำเบี้ยประกันภัยที่ได้รับคืนตามข้อ
1)
มาซื้อกรมธรรม์ประกันภัยอื่นๆ ของบริษัทที่ใช้สิทธิบอกเลิก
โดยจะได้รับส่วนลดเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 2
เท่าของเบี้ยประกันภัยที่ได้รับคืน
การบริหารจัดการความเสี่ยงเชิงระบบและเสถียรภาพของระบบประกันวินาศภัย
นายอานนท์ วังวสุ กล่าวปิดท้ายว่า ธุรกิจประกันวินาศภัยไทยมีเจตนาดีที่จะนำระบบประกันภัยเข้ามาช่วยในการบริหารความเสี่ยงของประชาชนและภาครัฐอย่างเต็มความสามารถ
โดยได้ร่วมกับสำนักงาน คปภ. พัฒนากรมธรรม์ประกันภัย COVID-19
เพื่อเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงด้านสุขภาพและการเงินให้กับประชาชน และช่วยแบ่งเบาภาระของภาครัฐในเรื่องของการจ่ายค่ารักษาพยาบาลและการชดเชยรายได้
อย่างไรก็ตาม ด้วยข้อจำกัดของเงินกองทุนที่มีอยู่
กอร์ปกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรค
COVID-19 ซึ่งเป็นความเสี่ยงอุบัติใหม่ที่ยังคงลากยาวต่อเนื่อง
และค่าสินไหมทดแทนที่เกิดขึ้นในระดับที่จะส่งผลต่อเสถียรภาพของระบบประกันภัยและผู้ถือกรมธรรม์ประกันภัยอื่นอีกกว่า
70 ล้านกรมธรรม์ จึงทำให้สมาคมฯ
ต้องแจ้งให้บริษัทสมาชิกที่รับประกันภัย COVID-19 แบบเจอ
จ่าย จบ ให้วิเคราะห์ผลการรับประกันภัยและทบทวนการบริหารความเสี่ยงและเงินกองทุนของบริษัทเนื่องมาจากภาพรวมและปัจจัยความเสี่ยงที่ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ
โดยขอให้บริษัทสมาชิกประเมินค่าสินไหมทดแทนที่ได้เกิดขึ้นแล้วและที่คาดว่าจะเกิดในอนาคต
โดยเฉพาะกรณีหากมีการระบาดระลอกใหม่ขึ้น
ว่าจะส่งผลกระทบต่อเงินกองทุนและฐานะการเงินของบริษัทจนทำให้ไม่สามารถประกอบธุรกิจต่อไปได้หรือไม่
เนื่องด้วยภาพรวมและปัจจัยความเสี่ยงสำหรับการรับประกันภัย COVID-19 ได้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมอย่างคาดไม่ถึง
ตามข้อมูลที่ได้นำเสนอในวันนี้ หากฐานะการเงินของบริษัทประกันภัยใดไม่สามารถรองรับความเสี่ยงได้อีกในอนาคต
และจำเป็นต้องบอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัย COVID-19 ขอเรียนให้ทราบว่า
บริษัทประกันภัยเหล่านั้นไม่ได้มีเจตนาในการเอาเปรียบหรือทอดทิ้งผู้เอาประกันภัยแต่อย่างใด
แต่เป็นความจำเป็นและเป็นการบริหารความเสี่ยงที่พึงกระทำ
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสี่ยงเชิงระบบกับผู้ถือกรมธรรม์ประกันภัยประเภทอื่นๆ
ที่อาจได้รับผลกระทบหากบริษัทที่รับประกันภัย COVID-19 ต้องปิดกิจการเพิ่มอีกในอนาคต นอกจากนี้แล้ว
หากบริษัทประกันภัยต้องปิดกิจการลง ก็จะส่งผลกระทบถึงสิทธิของเจ้าหนี้ประเภทอื่นๆ
ของบริษัทประกันภัยซึ่งไม่มีสิทธิรับเงินจากกองทุนประกันวินาศภัย เช่น โรงพยาบาล
อู่ซ่อมรถ ตัวแทน นายหน้า พนักงาน และเจ้าหนี้ประเภทอื่นๆ ของบริษัทประกันภัย
บริษัทประกันภัยจึงอาจมีความจำเป็นที่จะต้องตัดสินใจดังกล่าวในอนาคตเพื่อจำกัดความเสียหายไม่ให้เกิดในวงกว้าง
และรักษาเสถียรภาพของระบบประกันภัยไว้
-
TQM” ปิดดีลใหญ่ช่วยเพิ่มช่องทางหนุนรายได้โตยั่งยืนทีคิวเอ็ม คอร์ปอเรชั่น หรือ “TQM” เข้าซื้อกิจการ ที เจ เอ็น บริษัทนายหน้าประกันภัยกลุ่มดีลเลอร์รถยนต์และกลุ่มผู้นำเข้ารถยนต์รายใหญ...
-
NSI นำสินประกันภัยสนับสนุนกิจกรรมฉลอง 80 ปีมูลนิธิช่วยคนตาบอดฯบริษัท นำสินประกันภัย จำกัด (มหาชน) โดยนางกมลภรณ์ ชินธรรมมิตร ผู้จัดการฝ่ายการเงิน มอบเงินจำนวน 300,000 บาท ให้แก่นายข...
-
“AIA Youth Cup 2019”ปี8เอไอเอ ประเทศไทย ร่วมกับ สโมสรท็อตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ จัดการแข่งขันฟุตบอล “AIA Youth Cup 2019” ณ จังหวัดเชียงใหม่ ต่อเนื่องเป็นปีที่ 8 พร้อมด้วยความร่วมมือจาก อง...
-
IP ผนึกพลังต่อยอด สยามราชธานีครั้งแรกของไทย ในโครงการ “ขับขี่ปลอดภัย สังคมอุ่นใจ ไร้อุบัติเหตุ”เพื่อสร้างสังคมปลอดภัยไร้อุบัติเหตุบนท้องถนนบมจ.ทิพยประกันภัย และ บมจ. สยามราชธานี ร่...
-
ไทยประกันชีวิต จับมือหน่วยแพทย์อาสาเดินหน้ากิจกรรม “มองโลกใส แม้วัยสูง กับไทยประกันชีวิตจิตอาสา” ปีที่ 5 เพื่อผ่าตัดตาต้อกระจกให้กับผู้สูงอายุที่ยากไร้ เพื่อมอบโอกาสการมองเห็นแก...
-
TQM ร่วมงานไทยแลนด์โฟกัส 2019 โชว์ศักยภาพโบรกเกอร์ประกันยักษ์ใหญ่ของไทย ยังคงเนื้อหอมไม่หยุดสำหรับ บมจ.ทีคิวเอ็ม คอร์ปอเรชั่น (TQM) โบรกเกอร์รายใหญ่ของไทย ล่าสุด ดร.อัญชลิน พรรณนิภ...
-
TQM ขอเป็นกำลังใจให้ผู้ประสบภัยน้ำท่วมต้องการความช่วยเหลือโทร. 1737 ตลอด 24 ชม.
-
THAILAND INSURANCE EXPO 2019 งานสัปดาห์ประกันภัย 2562 เหลือวันเดียว เริ่มวันศุกร์นี้แล้ว งานสัปดาห์ประกันภัย 2019 และพิธีมอบรางวัลประกันภัยดีเด่นค...
-
ชับบ์สามัคคีเปลี่ยนแปลงผู้นำในประเทศไทย ชับบ์สามัคคีประกาศแต่งตั้งผู้นำสำหรับการดำเนินธุรกิจประกันภัยในประเทศไทย คุณแอนดรูว์ นิสเบ็ท ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที...
-
เมืองไทยประกันชีวิต ชูแคมเปญ“Happy Tax Time”ตอบโจทย์เทศกาลวางแผนภาษีส่งท้ายปี นายสาระ ล่ำซำ กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ...
-
“เมืองไทยมาราธอน 2019”สุดคึกคัก สนามแรกนักวิ่งทะลุหมื่นคน เปิดฉากแล้วสำหรับงาน “เมืองไทยมาราธอน 2019 (MUANG THAI MARATHON 2019)” ซึ่งจัดขึ้นโดย บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มห...
-
FWD ประกันชีวิต เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่‘ซีไอ 50’ คุ้มครอง 50 โรคร้าย เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต เปิดตัวแผนประกันโรคร้าย “ซีไอ 50” ที่รวมคุณสมบัติเด่น คุ้มครอง 50 โรคร้ายแรง อาทิ มะเร็ง ...
-
ไทยประกันชีวิต ชวนวิ่ง/รักษ์โลก ONE RUN 2019 ไทยประกันชีวิตเดินหน้า EcoHealth System ผสานแนวคิด SDGs จัดกิจกรรมวิ่งเทรนด์ใหม่